วันที่ 4 พ.ย.61 ช่วงเวลา 11.45 น. ตัวแทนเถ้าแก่ไร่อ้อย ชาว อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก จำนวน 12 คน นำโดย นายนพกร ไม้แดง นายเอนก ศรีท้วม นาง ชนาภา ขุนสุริยะ นางวันเพ็ญ แสงทอง หอบเอกสารและหลักฐานใบสัญญาปลอมเข้าร้องเรียนกับกองบังคับการกองปราบปราม เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิด นางสาวแจง ชาวอำเภอพรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ในข้อหาหลอกลวงว่าเป็นคนจัดหาคนงานเอามาตัดอ้อยให้ และหลอกเก็บเงินค่ามัดจำไปแล้วล่วงหน้าสูญหายรวมหลายล้านบาท
โดยนางสาวแจง ชาวอำเภอพรานกระต่าย มีพฤติกรรมเอาสำเนาบัตรประชาชนของคนตาย และของคนงานที่เจ้าของบัตรไม่มีส่วนรู้เห็นเอามาประกอบความทำสารบบในใบสัญญาและยังมีพฤติกรรมนำเอาสำเนาบัตรประชนที่ถูกปลอมแปลงนำเอามาอ้างอิงว่าเป็นคนงานที่นำมาตัดอ้อยให้อีกด้วย และมีพฤติกรรมเอาสำเนาบัตรคนงานเหล่านี้จำนวนหลายคนไปหลอกลวงทำสัญญากับเถ้าแก่ไร่อ้อยหลายๆคนเพื่อหลอกเก็บเงินค่ามัดจำมา
นาง ชนาภา ขุนสุริยะ เถ้าแก่ไร่อ้อยผู้เสียหายเล่าว่า รู้จักนางสาวแจง ชาวอำเภอพรานกระต่าย เพราะมีคนแนะนำให้รู้จัก และตนเองก็ต้องการคนงานมาตัดอ้อยจำนวนมาก ตนเองได้ทำไร่อ้อยมากกว่า200ไร่ จึงต้องการคนงานเยอะมากพอสมควร นางสาวแจงได้มาขอทำสัญญาโดยมีข้อกำหนดต้องจ่ายค่ามัดจำให้คนงานรายละ 5,000 บาท และในการทำสัญญานั้นตนได้จ่ายเงินไปให้จำนวนเกือบ 2 แสนบาทตามความต้องการที่ต้องการจะได้มา แต่พอถึงเวลาส่งคนงานเข้าแคมป์คนงาน นางสาวแจงไม่มีคนงานมาส่งให้แม้แต่คนเดียว ตนเองเลยสอบถามกลุ่มสมาชิกที่ทำไร่อ้อยด้วยกัน ปรากฏว่ามีเถ้าแก่ไร่อ้อยถูกหลอกลักษณะเดียวกันแบบนี้จำนวนหลายราย ที่นับได้ตอนนี้ก็มีผู้เสียหายประมาณ 30 คนแล้ว โดยมียอดความเสียหายตั้งแต่ 10,000-300,000 บาท
นางชนาภา ขุนสุริยะ ตัวแทนผู้เสียหายยังกล่าวอีกว่า ตนเองพยายามขอเงินคืนแต่นางสาวแจงไม่มีเงินมาคืนให้ จึงพยายามทำทุกวิธีทางให้มาไกล่เกลี่ยกันแต่ไม่เป็นผล ล่าสุดได้เข้าไปที่ สภ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร จำนวน 3 ครั้ง แต่ตำรวจทาง สภ.ดั่งกล่าวไม่ยอมทำคดีให้ มีแต่ให้ลงบันทึกประจำวันไว้ซึ่งการลงบันทึกประวันไม่ได้มีบทบาทในการที่จะได้เงินคืน ตนเองพยายามให้ตำรวจที่สถานีตำรวจแห่งนี้ดำเนินคดีอาญา แต่ตำรวจตอบกลับมาว่าให้ไปหาทนายความมาเดินเรื่องเอาเอง ไม่เคยมีท่าทีจะสอบสวนสืบสวนแต่จะมาสรุปความว่าเป็นคดีแพ่งได้อย่างไร ตนจึงรวมตัวกันเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อมายื่นเรื่องที่กองปราบปรามในครั้งนี้
ทันทีที่ผู้เสียหายเดินทางมาที่กองปราบปราม พ.ต.ท.ประภาศ อ่องมะลิ รอง.ผกก.(สอบสวน)กก.๔ บก.ป. ได้ออกมารับเรื่องและส่งทีมเจ้าหน้าที่สอบสวนสืบสวนทันที พร้อมระบุว่ากรณีแบบนี้เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนเนื่องจากมีการนำเอาหลักฐานอันเป็นเท็จหรือการปลอมแปลงมาแอบอ้างจนได้รับความเสียหาย และยังได้มีการนำเอกสารซ้ำๆกันไปประกอบความในการทำสัญญากับคนอื่นๆจนได้รับความเสียหายเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเร่งดำเนินการให้ไวที่สุดเกี่ยวกับการร้องทุกข์ของเคสนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น