วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ตลาดสุรนารี(โคราช) ทวงถามความยุติธรรมกับอัยการสูงสุดและสำนักนายกรัฐมนตรี

ตลาดสุรนารี(โคราช) ทวงถามความยุติธรรมกับอัยการสูงสุดและสำนักนายกรัฐมนตรี

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 13.00 น.นายพิชญ์ สนธิ ที่ปรึกษากฎหมายและบริหาร บริษัท ตลาดสุรนารี จำกัด พร้อมผู้ต้องหาทั้ง 28 คน เข้าพบสำนักอัยการสูงสุด และสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสือร้องเรียนและขอความเป็นธรรม เพื่อใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องคดีอาญาที่มิต้องด้วยกฎหมาย ส่อเจตนาทุจริตสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนชาวไทย 28 ชีวิต ของอัยการจังหวัดนครราชสีมา

นายพิชญ์ กล่าวว่าสืบเนื่องจากวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา พวกเราได้รับแจ้งเป็นหมายแจ้งผู้ต้องหาให้มาพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อส่งฟ้องให้แก่พนักงานอัยการ คดีดังกล่าวนี้เป็นคดีที่พนักงานสอบสวนได้ดําเนินการมาแล้วประมาณ 6 เดือนส่งไปที่อัยการ พนักงานสอบสวนมีคําสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากไม่มีมูลแห่งความผิด แต่ด้วยเหตุที่อัยการสั่งฟ้อง พนักงานสอบสวนจึงดําเนินการเรียกผู้ต้องหามาเพื่อดําเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ และก็ดําเนินการควบคุมและดําเนินการทางกฎหมาย เพื่อดําเนินการส่งฟ้องให้กับอัยการ

โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้น เกิดจากการที่ คู่กรณีกับพวกประมาณ 30-50 นาย (ชายชุดดำ) บุกรุกเข้าไปในที่ดินตลาดสุรนคร หรือตลาดสุรนารี อันเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของเหล่าผู้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ ซ่องโจรในครั้งนี้. โดยเข้าไปยึดการครอบครองและพยายามจะใช้กําลังผลักดันเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินออกจากที่ดินตลาดสุรนคร ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่คืนวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ต่อเนื่องวันที่ 1 มกราคม 2564 โดยเอากําลังพลเข้ามา 30-50 นาย แล้วอยู่ต่อจนกระทั่งถึงช่วงวันที่ 3-4  มกราคม 2564 ในระหว่างนั้นมีการแจ้งความ มีการแจ้งผู้ว่าฯ จังหวัดนครราชสีมา มีการประชุมกับผู้บังคับการตำรวจ จังหวัดนครราชสีมา ว่า “ทําไมตํารวจไม่ดําเนินการข้อหาบุกรุกกับทางคู่กรณีในข้อหาที่เขามากระทําการต่อที่ดินกรรมสิทธิ์ของบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหล่านี้”

ในขณะที่ตํารวจยังไม่ดําเนินการนั้น เราก็ได้ดําเนินการเพื่อแจ้งบอกว่าให้ออกไปให้ดําเนินการตามกฎหมาย ถ้าคุณคิดว่าคุณมีข้อกฎหมายใดให้ร้องกันที่ศาล ไปต่อสู้กันที่ศาล แต่ในขณะนั้น คู่กรณีพยายามยื้อเราก็แจ้งความบุกรุก ตํารวจก็ไม่กระทําการในฐานะผู้บุกรุกเลย

สุดท้าย เกิดกรณีมีการฟ้องว่ามีการปล้นทรัพย์ เป็นตู้ยาม ซึ่งได้รับมอบมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีทั้งกลุ่มอาคารทั้งหมดโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของ และอ้างว่ามีการปล้น ป้อมยามพร้อมกับแอร์ที่ติดตั้งที่ป้อมยามนั้น ซึ่งนี่คือ ข้อกล่าวหาในวันนั้น แล้วก็มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่าเขาครอบครองอยู่ ซึ่งเขาไม่ได้ครอบครอง แต่เป็นการเข้ามาบุกรุกในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 รอยต่อวันที่ 1 มกราคม 2564 ของคืนนั้น.

เนื่องจากคู่กรณีไม่ได้มีสิทธิ์อะไรในที่ดิน แต่เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์จริง ที่ปรากฏชื่อของนายสนิทกับนางประกอบ สุวรรณชาติ อันเป็นกองมรดกส่งทอดถึงทายาทตระกูลสุวรรณชาติ ที่โดนจับกลุ่มนี้

“วันนี้ พวกเราได้ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีซึ่งมีการสอบสวน และเราเชื่อว่าเป็นการสอบสวนที่มิชอบ เพราะเหตุของข้อเท็จจริงดังกล่าว จะเห็นว่ากลุ่มบุคคลที่พูดถึงกันไว้ว่าต้องคดีปล้นไม้ไผ่หนึ่งท่อนอยู่บนที่ดินของตัวเอง แล้วอีกหนึ่งคดีคือ ปล้นตู้ยาม ทำร้ายแอร์ และอุปกรณ์ร่วมกับตู้ยาม ซึ่งอยู่ในความครอบครองของพวกเราบนที่ดินของพวกเรา ตลาดสุรนารี หรือตลาดสุรนครเก่า ซึ่งมีมหากาพย์ต่อสู้กันมา 30 ปีแล้ว และมีคนที่ประสงค์อยากจะได้ที่ดินของเรา จึงพยายามอยากจะนําข้อต่อรองทางด้านคดีอาญา มาต่อรองเพื่อเอาผลประโยชน์แก่ที่ดิน เพื่อให้เราส่งมอบที่ดินให้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตามที่ดินนี้ เป็นทรัพย์มรดกของตระกูล “สุวรรณชาติ” ตระกูลอื่นไม่มีสิทธิ์แน่นอน เสร็จแล้วก็พยายามช่วงชิงหรือใช้โอกาสความฉลาดที่มากกว่าทางกฎหมาย โดยร่วมมือหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตํารวจหรือพนักงานอัยการอันนี้ต้องสอบสวนต่อไป. 

“เราจึงได้นําเรื่องมาให้อัยการสูงสุด เพื่อสอบสวนอัยการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมสอบสวนคดีนี้ และสอบสวนการทําหน้าที่เจ้าพนักงานด้วย ถ้ากระทําความผิดอาญาหรือวินัยอย่างใด ให้ดําเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด มิใช่ทําให้สังคมไม่สงบ หรือตกเป็นเครื่องมือของผู้หนึ่งผู้ใด ใครกระทําความผิด ก็ต้องรับโทษดาบนั้นคืนสนอง  ถ้าใครไม่ได้กระทําความผิด คุณจะเอาความผิดจากประชาชนไม่ได้ ฉะนั้น จึงนําหนังสือมายื่นให้ท่านอัยการสูงสุด และสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทวงถามความยุติธรรม เพราะท่านคือ เสาหลัก คือ ที่พึ่งของประชาชนชาวไทย”นานพิชญ์ กล่าว

โดย นายทรงพล สุวรรณพงศ์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และนายสาธิต สุทธิเสริม ผู้อำนวยการประสานมวลชนและองค์กรประชาชนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ออกมารับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว และพร้อมให้ความยุติธรรม

นายทรงพล กล่าวว่าสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมหน่วยงานหนึ่ง พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็น พร้อมแนววิธีการปฏิบัติ หรือว่าเรื่องอะไรก็ตาม อยากกราบเรียนพี่น้องประชาชนให้สบายใจ ว่าทางอัยการสูงสุด  เรามีสํานักงานอัยการในส่วนของภูมิภาค เป็นสํานักงานอัยการจังหวัดหรือหากว่าท่านเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับความสะดวก  เกิดความไม่สบายใจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของ พนักงานอัยการของข้าราชการในสํานักงานอัยการสูงสุด สามารถที่จะดําเนินการในลักษณะแบบนี้ได้ และเราก็จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป 


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เลขาฯวัชรินทร์_แทนจำรัส ร่วมประชุมคณะกรรมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ครั้งที่ 3/2567

💥ร่วมประชุมคณะกรรมการพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร ครั้งที่ 3/2567 💥โดยพันตำรวจเอกกฤษฏา ภัทรประสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิ...