“กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับกรมป่าไม้ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เปิดปฏิบัติยุทธการทวงคืนผืนป่า เยียวยาผืนดิน ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยส้มและป่าภูผาแดง ท้องที่อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย หลังชุดสืบสวนได้แฝงตัวในพื้นที่ จนพบเบาะแสว่ามีกลุ่มนายทุนบุกรุกถือครองใช้ประโยชน์ที่ดินโดยผิดกฎหมาย ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน 512 ไร่เศษ

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับกรมป่าไม้ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เปิดปฏิบัติยุทธการทวงคืนผืนป่า เยียวยาผืนดิน ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยส้มและป่าภูผาแดง ท้องที่อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย หลังชุดสืบสวนได้แฝงตัวในพื้นที่ จนพบเบาะแสว่ามีกลุ่มนายทุนบุกรุกถือครองใช้ประโยชน์ที่ดินโดยผิดกฎหมาย ปลูกยางพารา ปาล์มน้ำมัน 512 ไร่เศษ”

ปฏิบัติการนี้นำโดย พลตำรวจโทต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยพลตำรวจตรีพิทักษ์ อุทัยธรรม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชีวะภาพ ชีวะธรรม รองอธิบดีกรมป่าไม้ และนายสมชาย เลขาวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (อุดรธานี) สนธิกำลังกับตำรวจภูธรจังหวัดเลย ชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 กอ.รมน. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในพื้นที่ และตำรวจทางหลวง ร่วมกันปฏิบัติยุทธการ ทวงคืนผืนป่า เยียวยาผืนดิน ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าห้วยส้มและป่าภูผาแดง ท้องที่บ้านห้วยส้มใต้ ตำบลผานกเค้า อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย

ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจาก สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (อุดรธานี) กรมป่าไม้ จึงได้มีคำสั่งให้หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ผาขาว ดำเนินการสำรวจการถือครองที่ดินอยู่อาศัย ทำกินของราษฎรในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าห้วยส้มและป่าภูผาแดง ท้องที่ บ้านห้วยส้มใต้ เพื่อประกอบการพิจารณาผ่อนผันอยู่อาศัย ทำกิน ในพื้นที่ป่าตามมติ ครม. 21พ.ย. 61 ปรากฏว่ามีแปลงยางพาราขนาดใหญ่และปาล์มน้ำมัน เนื้อที่กว่า 512 ไร่ ไม่มีผู้มาแสดงตัวเป็นผู้ถือครอง จึงได้รายงานถึงผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (อุดรธานี) ก่อนประสานกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมทำการสืบสวนและแฝงตัวในพื้นที่ จนพบเบาะแสว่ามีการบุกรุกถือครองใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงดังกล่าวโดยผิดกฎหมาย

จากการสืบสวนเบื้องต้นพบว่า เป็นกลุ่มนายทุนภาคใต้ แต่หากพบว่ามีข้าราชการกลุ่มใดเข้าไปบุกรุกถือครองก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ละเว้น ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานในการเอาผิด ทั้งนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีการบุกรุกป่า รวมทั้งนำแนวทางปฏิบัติในครั้งนี้เป็นโมเดลตั้งต้น ในการขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อไป 

เบื้องต้นได้มอบให้ศูนย์ป่าไม้เลย แจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายผลสืบสวนสอบสวนนำตัวผู้กระทำผิดและผู้ที่เกี่ยวข้อง มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งหลังจากนี้ทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะทำการสืบสวนหาตัวกลุ่มนายทุนที่บุกรุกพื้นที่ และขออนุญาตสอบสวนจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเป็นการป้องปรามการบุกรุกพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะเช่นเดียวกันที่ยังคงพบอยู่ทั่วประเทศในหลายพื้นที่ต่อไป.