วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

DSI บูรณาการร่วมกับกรมการปกครอง และจังหวัดเชียงราย ตรวจสอบกรณีคนต่างด้าวสวมสิทธิสัญชาติไทยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และใช้สิทธิไปประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าว

DSI บูรณาการร่วมกับกรมการปกครอง และจังหวัดเชียงราย ตรวจสอบกรณีคนต่างด้าวสวมสิทธิสัญชาติไทยโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และใช้สิทธิไปประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าว

     เมื่อวันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 เวลา 15.30 น. พันตำรวจโท ปกรณ์ สชีวกุล รองอธิบดีกรสอบสวนคดีพิเศษ บูรณาการร่วมกับกรมการปกครอง โตย นายวีระชาติ ดาริชาติ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน นายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน นายอุดม อยู่อินไกร นายอำเภอเวียงแก่น และตำรวจภูธร
จังหวัดเซียงราย ตรวจสอบกรณีคนต่างด้าวสวมสิทธิสัญชาติไทยโดยมิชอบตัวยกฏหมาย และไปใช้สิทธิในการประกอบธุรกิจต้องห้าม อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542

     สืบเนื่องจากกรมการกงสุล ได้ส่งข้อมูลให้กองคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบกรณี นายแก้ว แซ่ลื ถือหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ ทั้งสัญชาติไทย และสัญชาติจีน ซึ่งตรวจพบโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จากการตรวจสอบพบว่า นายแก้ว แซ่ลี่ เป็นคนต่างด้าว ได้สวมสิทธิสัญชาติไทย โดยใช้วิธีสวมชื่อบุคคลสัญชาติไทยที่ยังมีชีวิตอยู่โดยมิชอบ เหตุเกิดที่สำนักทะเบียนอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐ อดีตปลัดอำเภอเวียงแก่น ที่ทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยนายทะเบียนอำภอเวียงแก่น เป็นผู้ดำเนินการ

     โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กรมการปกครอง เพื่อเพิกถอนการรายการสิทธิสัญชาติไทยและดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องแล้ว และดำเนินการสืบสวนขยายผลร่วมกับสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีการสวมสิทธิโดยมิชอบในช่วงเวลาที่ปลัดอำเภอเวียงแก่นซึ่งเป็นผู้กระทำผิด อีกจำนวน 255 รายชื่อ จึงเป็นที่มาของการบูรณาการร่วมกันใน 2 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งกรมการปกครองเป็นผู้รับผิดชอบ และ (2) ด้านการประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าว ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบ

     โดยได้รับกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องสืบสวนที่ 23/2563 และขณะนี้ได้นำรายชื่อบุคคลจำนวน 255 รายชื่อ ที่ปรากฎภาพลายนิ้วมือ ในขณะแจ้งถิ่นพำนัก ส่งไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วมือ ขณะทำบัตรประชาชน เพื่อพิสูจน์ตัวบุคคล รวมทั้งได้นำรายชื่อทั้ง 255 ราย ตรวจสอบกับฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า มีการไปจดทะเบียนประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าวจำนวน 15 ราย ในลักษณะนิติบุคคลรวม 19 บริษัท โดย 1ใน 15 ราย ซึ่งจดทะเบียน เป็นนิติบุคคล 3 บริษัท มีทุนจดทะเบียนรวมกันไม่น้อยกว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสินทรัพย์ของนิติบุคคลรวมกิน 100 ล้านบาท เข้าข่ายลักษณะที่เป็นคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป
















ภาพข่าวศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่  3
นกพิราบศูนย์ข่าวพิจิตร 0831671688 รายงาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น