เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563 พลตรี จิรเดช กมลเพ็ชร รองแม่ทัพภาคที่ 3/ รองผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมด่วนทางไกลกับ ผู้แทนจังหวัดทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ โดยมี นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงาน และจิตอาสาภัยพิบัติจังหวัดเชียงใหม่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมการประชุมฯ ที่ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ อยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงได้สั่งการให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ เร่งจัดการปัญหาไฟป่าและการเผาอย่างเด็ดขาด โดยให้จุดความร้อน หรือ Hotspot ต้องเป็น 0 ภายในสัปดาห์นี้
จากการรายงานของจังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าของวันนี้ (2 เม.ย.63) พบจุด Hotspot สูงถึง 333 จุด ในพื้นที่ 17 อำเภอ 50 ตำบล หลังจากเมื่อวันก่อนลดลงไปเหลือเพียง 85 จุด ซึ่ง 5 อำเภอที่มีจุดความร้อน
สูงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อำเภอแม่แจ่ม 53 จุด อำเภอสะเมิง 45 จุด อำเภอแม่แตง 40 จุด อำเภอเชียงดาว 39 จุด และอำเภออมก๋อย 29 จุด
ขณะเดียวกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เรียกประชุมอำเภอที่เกิดจุด Hotspot มากที่สุด โดยเน้นย้ำการจัดชุดลาดตระเวนและชุดดับไฟป่าประจำหมู่บ้าน ให้ประจำและฝังตัวอยู่กับประชาชนในหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบเข้าไปในพื้นที่ป่า และทำการข่าวอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเน้นย้ำอำเภอเรื่องการพิจารณาสถานการณ์ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อขอรับการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน ทั้งปัญหาสถานการณ์ไฟรุนแรง การเข้าถึงสถานที่ที่ยากลำบาก เพื่อที่จะขอรับความช่วยเหลือจากอากาศยาน โดยขอให้ประเมินและแจ้งโดยเร็ว เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และไม่เกิดไฟไหม้ลุกลามในพื้นที่มากกว่าเดิม
สำหรับวันนี้มีอำเภอที่ได้ร้องขอการสนับสนุนอากาศยานเพื่อเข้าไปดับไฟในพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอสะเมิง อำเภอแม่แตง และอำเภอเชียงดาว เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นหน้าผาและเข้าถึงยาก โดยได้จัดกำลังภาคพื้นเข้าไปช่วยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ให้มีการประชุมกับอำเภอที่มีจุด Hotspot สูง 5 อันดับแรก ทุกเช้า เพื่อติดตามสถานการณ์ รับทราบปัญหาอุปสรรคในพื้นที่อย่างใกล้ชิด อีกทั้งเพื่อตอบสนองต่อการสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการเร่งจัดการให้ Hotspot ต้องเป็น 0 ภายใน 7 วัน
ส่วนการแบ่งพื้นที่ปฏิบัติการภาคอากาศ เฮลิคอปเตอร์หน่วยบินกระทรวงทรัพย์ฯ ร่วมกับหน่วยบิน กรมฝนหลวง จำนวน 1 ลำ ปฏิบัติงานที่อำเภอสะเมิง เฮลิคอปเตอร์ MI-17 ของกองทัพบก ปฏิบัติงานที่อำเภอเชียงดาว และเฮลิคอปเตอร์จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 ปฏิบัติงานที่อำเภอแม่ออน พร้อมทั้งเตรียมการเฝ้าระวังอยู่ที่บริเวณดอยสุเทพโดยรอบ ด้านอากาศยานไร้คนขับ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศ ขณะนี้ได้ดำเนินการติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการทดลองขึ้นบินในช่วงบ่ายของวันนี้ และเริ่มปฏิบัติการจริงในวันพรุ่งนี้
ทั้งนี้ พลตรี จิรเดช กมลเพ็ชร รองแม่ทัพภาคที่ 3 ได้เน้นย้ำให้ทุกจังหวัดปฏิบัติตามการสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ประกอบกับการแก้ไขปัญหาโดยวิธีอื่นๆ ด้วย อีกทั้งเน้นย้ำให้ทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มข้น ในการลาดตระเวน โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงต่างๆ เช่น พื้นที่เกิดไฟไหม้ซ้ำซาก พื้นที่เสี่ยงเกิดจุดความร้อนในพื้นที่ โดยขอให้บูรณาการร่วมกัน และขอให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ขณะนี้ทางจังหวัดได้บูรณาการร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่อย่างใกล้ชิด ในการดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยให้นายอำเภอ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สั่งการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ระดับอำเภอ แจ้งเจ้าของพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้ รวบรวมพยานหลักฐานไปแจ้งความดำเนินคดีทุกคดี และรายงานผลการแจ้งความดำเนินคดีให้ศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จังหวัดเชียงใหม่ ทราบทุกวัน เพื่อเป็นการเร่งรัดรวบรวมหลักฐานในการดำเนินคดีและสั่งฟ้องโดยเร็ว อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดของจังหวัดเชียงใหม่
ในส่วนของการเฝ้าระวังในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ขณะนี้ทางจังหวัดฯ ได้ดึงเครือข่ายภาคประชาชนของชุมชนในพื้นที่บูรณาการร่วมกับภาครัฐ ในการตั้งจุดสกัด เดินลาดตระเวน และเฝ้าระวังป้องกัน ถึงแม้ว่าสถานการณ์ไฟไหม้ได้คลี่คลายแล้ว แต่ยังคงมีการวางกำลังเฝ้าระวังและลาดตระเวนประจำอยู่ในพื้นที่ป่าตลอดเวลา โดยเพิ่มกำลังทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชน และชุดปฏิบัติการในพื้นที่ ประกอบกับที่จังหวัดได้มีประกาศสั่งปิดป่าไปแล้ว แต่ยังคงมีไฟไหม้ในพื้นที่ จึงได้สั่งการให้มีการตั้งด่านจุดตรวจสกัดทุกเส้นทาง และบริเวณโดยรอบอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางเข้า ถนนลาดยาง และถนนลำลอง เพื่อเข้มงวดตรวจสอบบุคคลที่จะเดินทางเข้าออกในพื้นที่ ซึ่งผู้ที่เข้าไปในพื้นที่ป่าได้ จะต้องเป็นผู้มีบัตรแสดงตนเท่านั้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สำคัญต่อชาวจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นพื้นที่ติดกับเขตเมือง จึงทำให้ต้องมีมาตรการเข้มในการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดไฟไหม้ซ้ำในพื้นที่ และลดค่าฝุ่นละอองที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอีกด้วย
ขอบคุณภาพ-ข่าว สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่
ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 3
นกพิราบศูนย์ข่าวพิจิตร 0831671688 รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น