วันที่ 29 มีนาคม 2563 เวลา 09.00 น. พล.ต.จิรเดช กมลเพ็ชร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า พร้อมด้วย นายปรมินทร์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมป่าไม้ และนายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมประชุมศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากมณฑลทหารบกที่ 33 กองบิน 41 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมป่าไม้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมติดตามสถานการณ์และร่วมหารือปรับแผนดับไฟป่าในพื้นที่ซ้ำซาก รวมทั้งการนำอากาศยานขึ้นบินโปรยน้ำ เพื่อดับไฟในพื้นที่สูงชันให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ภายหลังจากเมื่อวานได้เปิดยุทธการใน 3 แห่ง ประกอบด้วย ยุทธการแหลมสน (ใกล้บ้านม้งดอยปุย) มี ฮ.ปภ. (KA-32) บินโปรยน้ำทางอากาศ ร่วมกับชุดเสือไฟ กรมอุทยานฯ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย และผู้นำชุมชนในพื้นที่ , ยุทธการบ้านทุ่งโป่ง ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง มี ฮ.MI-17 ของกองทัพบก บินโปรยน้ำทางอากาศ ร่วมกับชุดเหยี่ยวไฟ ชุดสถานีควบคุมไฟป่าภูพิงค์ และผู้นำชุมชนในพื้นที่ โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนและเฝ้าระวังในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งทำแนวกันไฟไว้โดยรอบ และในส่วนยุทธการที่อำเภอเชียงดาว บริเวณดอยหลวงเชียงดาว มี ฮ.กระทรวงทรัพฯ จำนวน 2 ลำ ร่วมกับกำลังเจ้าหน้าที่อุทยาน ป่าไม้ ฝ่ายปกครอง และชาวบ้านในพื้นที่ ระดมกำลังเข้าไปดับไฟ และทำแนวกันไฟป้องกันไม่ให้เกิดการลุกลามเป็นวงกว้าง ซึ่งมีจุดความร้อนเกิดขึ้นจำนวนมาก
ล่าสุดในช่วงเช้ามีไฟเกิดขึ้นใกล้เคียงในจุดเดิมในดอยสุเทพ-ปุย ทั้งด้านหน้าน้ำตกมณฑาธาร และสวนเกษตรไซด์ B โดยได้นำ ฮ.กระทรวงทรัพฯ จำนวน 2 ลำ ขึ้นบินโปรยน้ำสกัดไฟแล้ว และในส่วนที่ดอยผาดำ ใกล้บ้านม้งดอยปุย และบ้านปง อำเภอหางดง ดำเนินการควบคุมไฟได้แล้ว แต่ยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กลับมาเกิดซ้ำอีก นอกจากนี้ยังพบจุดความร้อนขึ้นใหม่อีก 2 จุด ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์บ้านแม่ขุนห้วยแม่นาไทร ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม ซึ่งอยู่ใกล้กัน ซึ่งจะใช้เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ของ ปภ. บินโปรยน้ำขึ้นดับไฟในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อสร้างความชุมชื้น และสกัดไม่ให้ไฟลุกลาม โดยต้องอาศัยกำลังภาคพื้นดินที่จะคอยชี้เป้า แล้วประเมินผลว่าตรงจุดหรือไม่ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลปรับแผนการบินให้เกิดประสิทธิภาพ จากนั้นก็จะใช้กำลังภาคพื้นที่เข้าไปดับไฟให้เรียบร้อย ขณะเดี่ยวกัน ยังได้ขอกำลังทหารจาก มทบ.33 ลงพื้นที่ลาดตระเวน ป้องกัน และช่วยดับไฟป่า ควบคู่กับชุดมวลชน ที่เข้าไปทำความเข้าใจในพื้นที่บ้านม้งดอยปุยและดอยผาดำ และป้องปราบประชาชนตามมาตรการห้ามเผาในที่โล่งเด็ดขาดจนถึง 30 เมษายนนี้
ในส่วนของภาคประชาชนจิตอาสาในจังหวัดเชียงใหม่ ได้มารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังเข้าร่วมเป็นจิตอาสาในการเฝ้าระวัง ป้องกัน การเกิดไฟป่า หลังพบว่าสถานการณ์ในจังหวัดเชียงใหม่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มร่มบินอาสาเชียงใหม่ กลุ่มโดรนจิตอาสา และกลุ่มมอเตอร์ไซด์วิบาก เป้าหมายหลัก คือการสำรวจ เพื่อป้องปราม การกระทำผิด และเป็นกำลังเสริม ประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ทั้งภาคพื้นที่ดินและทางอากาศ โดยแบ่งชุดกระจายกำลัง ออกปฏิบัติการสำรวจ และชี้พิกัด รอบพื้นที่ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
โดยเฉพาะในเรื่องการลาดตระเวนป้องกัน และชี้จุดการเผา โดยจะขึ้นบินทุกเช้าในเวลา 08.00 – 09.00 น. ทุกวัน ซึ่งแบ่งเป็น 2 จุด คือโซนดอยสุเทพ-ปุย ห้วยตึงเฒ่า จนถึงอำเภอแม่ริม และโซนตำบลแม่เหียะ เพื่อช่วยสำรวจจุดเกิดไฟไหม้ และส่งพิกัดให้กับเฮลิคอปเตอร์นำไปเป็นข้อมูลวางแผนเพื่อขึ้นบินโปรยน้ำดับไฟได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ขณะที่กลุ่มมอเตอร์ไซด์วิบาก จะช่วยเข้าไปลาดตระเวนในพื้นที่ป่าที่ยากต่อการเข้าถึง เพื่อป้องปรามและกดดันผู้ที่จะเผา ซึ่งหากเจอก็จะถ่ายรูปและแจ้งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที
นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เน้นย้ำมาตรการปิดป่า โดยขอให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดตรวจตราการบุกรุกป่าในช่วงที่ประกาศปิดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และหากพบผู้บุกรุกก็ให้เจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งจะเพิ่มชุดเฝ้าระวังในหมู่บ้าน เพื่อฝังตัวหาข่าวอยู่ในพื้นที่ เนื่องจากชาวบ้านยังขาดความรู้ในมาตการห้ามเผา จึงต้องสร้างความเข้าใจให้ทั่วถึง โดยก่อนหน้านี้ได้มีชุดลาดตระเวนและชุดดับไฟประจำหมู่บ้าน เป็นการบูรณาการกำลังทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่อุทยาน ฝ่ายปกครอง อปท. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านในพื้นที่ออกลาดตระเวน ตรวจสอบจุดความร้อน และเข้าดับไฟหากเกิดไฟป่าในพื้นที่ของตนเอง ทั้งนี้ ประชุมศูนย์บัญชาการฝุ่นควันฯจังหวัดเชียงใหม่เช้านี้ ยังปรากฏค่า Hotspot ในพื้นที่ซ้ำซากและพื้นที่เกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นเพื่อให้เกิดผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน จึงขอให้นายอำเภอทุกอำเภอ กำกับดูแล พร้อมแจ้ง ผอ.อปท.ในพื้นที่ทุกแห่งจัดประชุมชุดปฏิบัติการเฝ้าระวัง , ลาดตระเวนประจำหมู่บ้านที่ได้สนธิกำลังทุกภาคส่วน ให้เข้าดำเนินการลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบของตน ให้เกิดผลโดยไม่เกิด Hotspot ในพื้นที่ พร้อมรายงานผลการประชุม/การปฏิบัติฯ ให้จังหวัดทราบอย่างต่อเนื่อง
ภาพข่าวศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่
3
นกพิราบศูนย์ข่าวพิจิตร 0831671688 รายงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น